Heat Island Effect คืออะไร

เกาะความร้อนหรือเกาะความร้อนเมือง (Urban Heat Island) เป็นปรากฏการณ์ที่พื้นที่ในเมืองหรือชุมชนที่มีความหนาแน่นสูง มีอุณหภูมิและมลพิษทางสิ่งแวดล้อมสูงกว่าพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ธรรมชาติโดยรอบอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของแผ่นดินจากการพัฒนาเมือง ทำให้มีอาคารก่อสร้างจำนวนมากกว่าต้นไม้ที่คอยดูดซับมลพิษหรือดักจับฝุ่นในอากาศ

สาเหตุของปรากฏการณ์นี้
© การเพิ่มขึ้นของอาคารต่างๆ การบังลมของอาคารสูง ปิดกั้นความร้อนจากพื้นดินไม่ให้แผ่ขึ้นสู่ท้องฟ้าในช่วงตอนกลางคืน ทำให้ความร้อนไม่สามารถระบายออกไปจากเมืองได้ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของความร้อนที่ปล่อยออกจากเครื่องปรับอากาศ โรงงานอุตสาหกรรม และแหล่งก่อความร้อนอื่น ๆ ในเมือง ก็ล้วนทำให้เกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อนได้เช่นกัน
©
คุณสมบัติด้านการดูดซับ และการสะท้อนกลับของรังสีความร้อนจากผิววัสดุในสิ่งก่อสร้าง เช่น คอนกรีต และแอสฟัลต์ (ยางมะตอย) ซึ่งดูดซับและเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดีในระหว่างวัน แล้วปล่อยความร้อนออกในตอนกลางคืน ทำให้เมืองสะสมความร้อนมากขึ้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อนได้ง่าย
©
การลดพื้นที่สีเขียว การตัดต้นไม้และการสร้างอาคารแทนพื้นที่ธรรมชาติ ทำให้ลดการดูดซับความร้อนและการระบายความร้อนจากต้นไม้ การระเหยหรือคายน้ำของพืชเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิอากาศภาคพื้นดินได้ดีและช่วยให้พื้นที่เมืองเย็นขึ้น
©
กิจกรรมของมนุษย์ การใช้พลังงาน เช่น เครื่องปรับอากาศ ยานพาหนะ และอุตสาหกรรม ล้วนเพิ่มความร้อนให้พื้นที่เมือง

ผลกระทบ
©
สุขภาพ: เพิ่มความเสี่ยงจากโรคลมแดดหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน
© พลังงาน: เพิ่มการใช้พลังงาน เช่น การเปิดเครื่องปรับอากาศในเมือง
© สิ่งแวดล้อม: ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของกระแสลม

วิธีลดปรากฏการณ์ Heat Island Effect
©
เพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การปลูกต้นไม้และสร้างสวนสาธารณะ
© ใช้วัสดุที่สะท้อนแสงสูง (Cool Roofs) และพื้นผิวระบายความร้อน
© พัฒนาวัสดุที่ซึมผ่านน้ำและช่วยลดอุณหภูมิ เช่น วัสดุพื้นไม้ก๊อก
© ลดการใช้พลังงานและเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน

สรุป:
Heat Island Effect เป็นปัญหาที่เกิดจากการพัฒนาเมือง แต่สามารถลดผลกระทบได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีและการวางแผนที่ยั่งยืน เช่น วัสดุที่ช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มพื้นที่สีเขียว

Scroll to top